วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเงิน

          ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีสารสนเทศเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในกระบวนการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต ด้านการตลาด ด้านการจัดการ ด้านบัญชี หรือด้านการเงิน ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร ตลอดจนสามารถนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อให้สามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้ อย่างไรก็ตาม บทความในส่วนนี้จะขออธิบายถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับการบริหารการเงิน โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Microsoft Excel เป็นหลักเท่านั้น

เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) คือ อะไร
           
            คำว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” นั้น เกิดจากการนำคำ 2 คำมารวมกัน คือ คำว่า “เทคโนโลยี (Technology)” ซึ่งหมายถึง การนำเอาความรู้ทางวิชาการ และด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ และคำว่า “สารสนเทศ (Information)” ซึ่งหมายถึง ข้อมูล (Data) ที่ผ่านการประมวลผล และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงมีความหมายถึง การนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับการสร้าง จดบันทึก จัดเก็บ ประมวลผล และสื่อสารข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว รวมถึงความถูกต้อง และความแม่นยำ สำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ นั่นเอง

ทำไมกิจการต้องมีการบริหารการเงิน (Financial Management) 
           
            ตามปกติแล้ว กิจการต้องการเงินทุน (Capital) จำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในสำหรับการลงทุนดำเนินธุรกิจ และขยายกิจการ โดยเงินทุนที่จัดหามานั้น แน่นอนว่า ควรมาจากแหล่งเงินทุนซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด หรือประหยัดสุด (Economy) หลังจากที่ได้เงินมาแล้ว ผู้ประกอบการก็ต้องดำเนินการจัดสรรเงินทุนที่มีอยู่นั้นในสินทรัพย์ให้เกิดทั้งประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectiveness) อันจะนำมาซึ่งรายได้ และการเจริญเติบโตของกิจการต่อไป นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังต้องมีการวิเคราะห์ พยากรณ์ และวางแผนทางการเงินในอนาคตเพื่อให้มั่นใจว่า มีเงินทุนพอเพียงในการดำเนินงาน และทำให้เกิดความเสี่ยงด้านการเงินน้อยที่สุดอีกด้วย
            จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นองค์ประกอบของการบริหารการเงินซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนควรทราบแต่เนื่องจากการเงินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขเป็นจำนวนมากทำให้ต้องใช้เวลาในการคำนวณ อีกทั้งยังต้องการความละเอียดถูกต้องสูงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้กับการบริหารการเงินนั้นจึงถือเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการเงิน และลดความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้นได้

การนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้กับการบริหารการเงิน
           
           สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผู้ประกอบการสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารการเงินได้นั้น อาจพัฒนาขึ้นโดยการเขียนโปรแกรมไว้ใช้งานด้วยตนเอง หรืออาจเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีก็เป็นได้ ซึ่งหนึ่งในโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยม และถูกนำมาใช้กับการบริหารการเงินอย่างแพร่หลาย ก็คือ โปรแกรม Microsoft Excel นั่นเอง
โปรแกรม Microsoft Excel นั้นถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารการเงิน ทั้งในด้านการจัดทำรายงานทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน การหามูลค่าของเงินตามเวลา การพยากรณ์ และวางแผนทางการเงิน ทั้งนี้ก็เพราะ Microsoft Excel เป็นโปรแกรมประเภทกระดาษคำนวณ (Spread Sheet) ซึ่งช่วยในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลประเภทตัวเลขได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษทางการเงินซึ่งเรียกว่า "Financial Function" ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จรูปสำหรับการคำนวณหาข้อมูลทางการเงินประเภทต่างๆ อีกด้วย
ก่อนที่จะนำโปรแกรม Microsoft Excel มาใช้ในการบริหารการเงิน เราควรต้องรู้จักกับหลักการคำนวณเบื้องต้น ตลอดจนสูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐาน (Arithmetic Formula) ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กันเสียก่อน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- เมื่อเปิดโปรแกรม Excel จะเห็นช่องสี่เหลี่ยมสีขาวแต่ละช่องที่ว่างอยู่เป็นจำนวนมากในหน้ากระดาษทำการ (Worksheet) ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า “Cell” โดยเราสามารถเขียนสูตรการคำนวณขึ้นจากการกรอกข้อมูลโดยตรงลงไปในแต่ละ Cell หรือจะสั่งให้ไปเอาข้อมูลที่อ้างอิงจาก Cell อื่นๆ มาใช้ในการคำนวณก็ย่อมได้
-ทุกครั้งที่จะเริ่มต้นเขียนสูตรการคำนวณทางคณิตศาสตร์ในแต่ละ Cell ที่ต้องการ ต้องพิมพ์เครื่องหมาย “=” นำหน้าเสมอ หลังจากนั้นถึงจะตามด้วยข้อมูล รวมถึงการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่างๆ เช่น เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ เช่น =2+3
-การเขียนสูตรเพื่อการคำนวณในแต่ละ Cell ต้องไม่มีการเว้นวรรคแต่อย่างใด โดยให้เขียนติดกันต่อเนื่องไปเลย และเมื่อเขียนสูตรใน Cell ที่ต้องการเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้กดปุ่ม Enter เพื่อที่โปรแกรม Excel จะได้ดำเนินการประมวลผลลัพธ์ให้ตามที่ต้องการโดยอัตโนมัติ
-หากมีการคำนวณซ้อนเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะใช้เครื่องหมายวงเล็บสำหรับการจัดกลุ่มข้อมูล โดยเครื่องหมายวงเล็บทั้งเปิด และปิดที่ถูกนำมาใช้นั้น ต้องเป็นวงเล็บในลักษณะ “โค้งปกติ” เท่านั้น เช่น =(2+3)*(4/2)
-สามารถกำหนดขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการใช้ในการคำนวณได้จากการ High Light ข้อมูล โดยเริ่ม
ต้นจากการคลิ๊กเม้าส์แล้วกดปุ่มซ้ายของเม้าส์ค้างเอาไว้ ต่อจากนั้นก็ให้ลากเม้าส์ไปครอบคลุมยัง Cell ต่างๆ ที่ต้องการ หรืออาจทำได้โดยการพิมพ์ชื่อ Cell แรก แล้วขั้นด้วยเครื่องหมายโคลอน “:” ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการพิมพ์ชื่อ Cell สุดท้ายก็ได้ เช่น =SUM(A1:A3)
-สำหรับสูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐานของโปรแกรม Microsoft Excel ที่ควรรู้จัก มีดังนี้


การจัดทำรายงานทางการเงิน (Preparation of Financial Statement)
           
            เมื่อรู้จักกับหลักการคำนวณ และสูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐานกันแล้ว ก็สามารถนำโปรแกรม Microsoft Excel มาประยุกต์ใช้เพื่อจัดทำรายงานทางการเงิน อันได้แก่ งบดุล และงบกำไรขาดทุน เป็นต้น โดยทำการป้อนข้อมูลทั้งที่เป็นข้อความ และตัวเลขลงในแต่ละ Cell ของกระดาษทำการ แล้วทำการเชื่อมโยงตลอดจนกำหนดขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการ รวมทั้งใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นมาช่วยในการคำนวณหาผลลัพธ์ที่ต้องการนั่นเอง
ตัวอย่างงบดุล (Balance Sheet):



จากตัวอย่างงบดุลข้างต้น เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูล ตลอดจนการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐานในโปรแกรม Excel ดังต่อไปนี้


ตัวอย่างงบกำไรขาดทุน (Income Statement):



จากตัวอย่างงบกำไรขาดทุนข้างต้น เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูล ตลอดจนการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐานในโปรแกรม Excel ดังต่อไปนี้



หมายเหตุ: จำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่าย และชำระแล้วของกิจการเท่ากับ 20,000 หุ้นนอกเหนือจากการที่เราสามารถนำหลักการคำนวณ และสูตรทางคณิตศาสตร์พื้นฐานมาใช้เพื่อจัดทำรายงานทางการเงิน อันได้แก่ งบดุล และงบกำไรขาดทุนกันแล้ว ยังสามารถนำมาหลักเกณฑ์เดียวกันมาใช้สำหรับการวิเคราะห์งบการเงินได้อีกด้วย

การวิเคราะห์งบการเงิน (Financial Statement Analysis)
           
           โปรแกรม Microsoft Excel ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลการดำเนินงานของกิจการ ว่ามีฐานะเป็นอย่างไร มีความมั่นคงมากน้อยเพียงใด โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์งบการเงินแบบย่อขนาด (Common Size Analysis) รวมถึงการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)ได้ ทั้งนี้สำหรับการวิเคราะห์งบแบบย่อขนาด ถ้าเป็นงบดุล จะกำหนดให้สินทรัพย์รวมเป็นตัวฐานในการเปรียบเทียบ โดยให้มีค่าเท่ากับ 100% แล้วจึงทำการเปรียบเทียบข้อมูลทุกรายการในงบดุลว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดของสินทรัพย์รวม ถ้าเป็นงบกำไรขาดทุนจะกำหนดให้ยอดขายเป็นตัวฐาน แล้วทำการเปรียบเทียบข้อมูลทุกรายการในงบกำไรขาดทุนว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดของยอดขาย ดังตัวอย่างที่แสดงไว้ต่อไปนี้

ตัวอย่างการวิเคราะห์งบดุลแบบย่อขนาด:



ตัวอย่างการวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนแบบย่อขนาด:




สำหรับการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน จะเป็นการนำเอารายการทางบัญชีที่ปรากฎอยู่ในงบการเงินซึ่งมีความเกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กันมาพิจารณาในรูปแบบของอัตราส่วน โดยสามารถแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นอัตราส่วนที่สำคัญ 4 กลุ่มดังต่อไปนี้

1. อัตราส่วนสำหรับวิเคราะห์สภาพคล่องของกิจการ (Liquidity Ratio)a. อัตราส่วนทุนหมุนเวียน = สินทรัพย์หมุนเวียน/ หนี้สินหมุนเวียน

b. อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง)/ หนี้สินหมุนเวียน

2. อัตราส่วนสำหรับวัดประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Efficiency Ratio)a. อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า = ยอดขาย/ ลูกหนี้การค้า

b. ระยะเวลาจัดเก็บหนี้โดยเฉลี่ย = จำนวนวันต่อ 1 ปี/ อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า

c. อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง = ต้นทุนขาย/ สินค้าคงคลัง

d. ระยะเวลาเฉลี่ยของสินค้าในคลัง = จำนวนวันต่อ 1 ปี/ อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง

e. อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร = ยอดขาย/ สินทรัพย์ถาวร

f. อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม = ยอดขาย/ สินทรัพย์รวม

3. อัตราส่วนสำหรับวัดความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio)a. อัตราส่วนหนี้สิน = (หนี้สินรวม/ สินทรัพย์รวม) *100

b. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ = หนี้สินรวม/ ส่วนของเจ้าของรวม

c. อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่าย = กำไรจากการดำเนินงาน/ ดอกเบี้ยจ่าย

4. อัตราส่วนสำหรับวัดความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio)a. อัตราส่วนกำไรขั้นต้น = (กำไรขั้นต้น/ ยอดขาย) * 100

b. อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน = (กำไรจากการดำเนินงาน/ ยอดขาย) * 100

c. อัตราส่วนกำไรสุทธิ = (กำไรสุทธิ/ ยอดขาย) * 100

d. อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ = (กำไรสุทธิ/ สินทรัพย์รวม) * 100

e. อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ = (กำไรสุทธิ/ ส่วนของเจ้าของ) * 100


ตัวอย่างการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน: 1 ปี = 360 วัน

14 ความคิดเห็น:

  1. สมัยนี้เทคโนโลยีมีอะไรใหม่ๆๆที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ
    แต่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินมั้งก็ดีเป็นประโยชน์ดี

    ตอบลบ
  2. น่าสนใจมากเลยค่ะ ใช้ในการทำงานได้จริง

    ตอบลบ
  3. มีสูตรมากมาย ทีเอามาใช้งานได้จริงทั้งการเรียนและการทำงาน

    ตอบลบ
  4. น่าสนอ่ะ ข้อมูลสุดๆๆอ่ะ

    ตอบลบ
  5. ดีจังจะได้ไม่เกิดการผิดพลาดในการทำงาน

    ตอบลบ
  6. น่าสนใจมากเลยนะสามารถนำมาใช้ได้จริงๆ

    ตอบลบ
  7. โปรแกรมน่าสนใจแร้วมันจะยากไหมอ่ะ

    ตอบลบ
  8. สุดยอดข้อมูลของวันนี้

    ตอบลบ
  9. excel นี้เอง โปรมแกรมที่รู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถใช้วิเคาระห์ งบการเงินได้ด้วย

    ตอบลบ
  10. น่าสนใจมากเลยสามารถนำไปใช้ในการเรียนการทำงานได้ด้วย

    ตอบลบ
  11. น่าสนใจมากเลยนะ...ช่วยให้เรามีความรู้เยอะเลย

    ตอบลบ
  12. ดีมากเลย...ช่วยลดเวลาในการทำงาน

    ตอบลบ
  13. มีเทคโนโลยีมาช่วย...ทำให้สะดวกสบายในการทำงานมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ
  14. บทความน่าสนใจมากจ๊ะ ใช้เป็นประโยชน์ได้มากที่เดียวในการหา ข้อมูลเพิ่ม

    ตอบลบ